Skip to content
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
Menu
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา

การรักษาไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบบีกลายพันธุ์

นพ.ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย

บทความ

โรงพยาบาลพระรามเก้า

  • วันที่โพสต์ 22 มีนาคม 2024
รักษาไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสตับอักเสบบีกลายพันธุ์

ในโลกปัจจุบันที่โรคต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ง่ายและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โรคตับอักเสบบีได้กลายเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่สำคัญและน่ากังวล สาเหตุอย่างหนึ่งของโรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่โจมตีตับ สามารถนำไปสู่อาการเฉียบพลันหรือเรื้อรัง และหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา อาจนำไปสู่ภาวะที่รุนแรงขึ้น เช่น ตับแข็งหรือมะเร็งตับ บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโรคตับอักเสบบี รวมทั้งวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยจะพาผู้อ่านไปสำรวจข้อมูลตั้งแต่การวินิจฉัยโรค การใช้ยาต้านไวรัส การดูแลตัวเอง เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิตประจำวัน

สารบัญ

  • ไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร?
  • การรักษาไวรัสตับอักเสบบี
  • ไวรัสตับอักเสบบีกลายพันธุ์
  • การดำเนินโรคของการกลายพันธุ์
  • การป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
  • สรุป

ไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบบี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำลายเซลล์ตับ ไวรัสนี้มีชื่อว่า hepatitis B virus (HBV) และสามารถแพร่กระจายได้หลายวิธี ทั้งผ่านการสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของบุคคลที่ติดเชื้อ การใช้เข็มหรืออุปกรณ์ที่ปนเปื้อนไวรัส การมีเพศสัมพันธ์ และจากแม่สู่ลูกในระหว่างคลอด

ไวรัสตับอักเสบบีสามารถทำให้เกิดโรคทั้งในรูปแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ในรูปแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจมีอาการเช่น คลื่นไส้ อาเจียน ตัวเหลือง และปวดท้อง ส่วนในรูปแบบเรื้อรัง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไวรัสอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน อาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่ยังคงทำลายตับ ซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับในระยะยาว

> กลับสู่สารบัญ

การรักษาไวรัสตับอักเสบบี

การรักษาไวรัสตับอักเสบบีมุ่งเน้นทั้งการจัดการกับการติดเชื้อและการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น ตับแข็งหรือมะเร็งตับ วิธีการรักษาสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักคือการรักษาในระยะเฉียบพลันและระยะเรื้อรัง

การรักษาในระยะเฉียบพลัน

ผู้ป่วยที่มีไวรัสตับอักเสบบีในรูปแบบเฉียบพลันมักไม่ต้องการการรักษาด้วยยาเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อได้เอง อาจกินเวลาหลายเดือน การรักษาในระยะนี้มักเน้นที่การบรรเทาอาการ เช่น การให้สารน้ำทดแทนและการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ในกรณีที่อาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัสหรือการนอนโรงพยาบาลร่วมด้วย

การรักษาในระยะเรื้อรัง

สำหรับผู้ที่มีโรคตับอักเสบบีเรื้อรัง การรักษามุ่งเน้นไปที่การใช้ยาต้านไวรัสเพื่อลดการเพิ่มจำนวนของไวรัสและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน ยาต้านไวรัสจะช่วยลดจำนวนไวรัสในร่างกาย ลดการอักเสบและความเสียหายของตับ และช่วยป้องกันการกลายเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับ การรักษานี้มักต้องใช้เวลาหลายปีหรือตลอดชีวิต โดยแพทย์มีการนัดตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอเพื่อประเมินประสิทธิภาพของการรักษาและปรับปรุงแผนการรักษาตามความจำเป็น

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในความท้าทายในการรักษาไวรัสตับอักเสบบีคือ การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่อาจทำให้เกิดภาวะดื้อยาต้านไวรัสบางชนิด การกลายพันธุ์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของไวรัส ทำให้ยาที่เคยใช้ได้ผลกลายเป็นไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจำเป็นต้องมีการตรวจติดตามและปรับเปลี่ยนการรักษาอย่างสม่ำเสมอ

> กลับสู่สารบัญ

ไวรัสตับอักเสบบีกลายพันธุ์

ไวรัสตับอักเสบบีสามารถกลายพันธุ์ได้ ซึ่งหมายความว่าไวรัสสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมของตัวเองได้ การกลายพันธุ์นี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งการกินยาไม่สม่ำเสมอ และปัจจัยทางกายภาพอื่น ๆ ของผู้ป่วย เช่น มีโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน  เป็นเพศชาย เป็นโรคเอดส์ร่วมด้วย มีค่าเอนไซม์ก่อนการรักษาต่ำ ผลการตรวจชิ้นเนื้อไม่ดีตั้งแต่ก่อนการรักษา นับไวรัส DNA ก่อนรักษา มากกว่า 149 ล้านตัว และหลังการรักษาไประยะหนึ่งแล้วไวรัสยังมากกว่า 10,000 ตัว การกลายพันธุ์หลัก ๆ มี 2 ชนิด ดังนี้

ไวรัสบีที่มีการกลายพันธุ์แบบไม่มี HBeAg (HBeAg negative hepatitis)

ในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีทั่วไป (HBeAg positive hepatitis) การตรวจ HBeAg จะเป็นบวก ซึ่งหมายถึงมีจำนวนไวรัสที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบเยอะอย่างเห็นได้ชัด แต่ใน HBeAg negative hepatitis การตรวจ HBeAg จะเป็นลบ ซึ่งหมายถึงตรวจไม่พบ HBeAg แต่ยังมีการอักเสบเกิดขึ้นอยู่

**HBeAg (hepatitis B e-antigen) เป็นค่าที่บ่งบอกว่ามีการติดเชื้อและมีการแบ่งตัวของไวรัสตับอักเสบบี (viral replication)

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยภาวะนี้เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบระดับ SGPT (serum glutamic pyruvic transaminase) เพื่อตรวจสอบระดับของการอักเสบในตับของผู้ป่วย ถ้า SGPT สูงขึ้น อาจแสดงถึงการอักเสบในตับ จากนั้นแพทย์อาจส่งการตรวจ HBeAg เพื่อดูว่าเป็นลบหรือบวก ถ้า HBeAg เป็นลบและไม่มีสาเหตุตับอักเสบอื่น ๆ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจนับไวรัสตับอักเสบบี ถ้าจำนวนไวรัสตับอักเสบบีมากกว่า 1 แสนตัว อาจเป็นสัญญาณที่ชี้ว่ามีการกลายพันธุ์ของไวรัสและไม่มี HBeAg ในเลือดของผู้ป่วย

การรักษา

การรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีกลายพันธุ์นั้นมีความสำคัญ เนื่องจากมีความยากลำบากในการรักษาและมีความรุนแรงของโรคที่เพิ่มขึ้น การรักษาแบบเดิมๆ ด้วย IFN (interferon) หรือ Lamivudine ในช่วงแรกอาจมีผลดี แต่จะมีปัญหาการดื้อยาภายหลังที่มีความยากลำบากในการรักษาและเสี่ยงสูง ผลการรักษายังไม่ดีเท่าไวรัสตับอักเสบบีธรรมดา ในปัจจุบันมักให้ยาทาน Lamivudine หรือ Adefovir ตลอดชีวิตโดยไม่หยุดยาเลย หรือแพทย์อาจแนะนำให้ฉีดยารักษาเป็นระยะเวลา 1 ปี แต่ข้อจำกัดของยาฉีดคือมีราคาสูง

ผลการรักษาไวรัสบีกลายพันธุ์ ชนิดนี้พบว่ารักษาแล้ว สามารถหยุดการแบ่งตัวไวรัสได้ แต่ผลการรักษาไม่ดีเท่าไวรัสบีปกติทั่วไป ถ้าเลือกรับประทานยาตลอดชีวิต ในระยะยาวก็มักเกิดการดื้อยา ต้องเปลี่ยนยาไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดอาจไม่มียารักษา ผู้ป่วยหลาย ๆ รายจึงอาจตัดสินใจฉีดยารักษาแม้ว่าแพงกว่ามากก็ตาม

การกลายพันธุ์จนสามารถดื้อยารักษาแบบรับประทาน Lamivudine (YMDD mutant)

Tyrosine-methionine-aspartate-aspartate (YMDD) mutant เป็นรูปแบบที่เกิดการกลายพันธุ์ที่กระทบต่อการรักษาโดยใช้ยาต้านไวรัส เช่น Lamivudine หรือ Entecavir ในผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยในระหว่างการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเช่น Lamivudine ไวรัสตับอักเสบบีอาจมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมในพื้นที่ที่เรียกว่า YMDD motif ที่เป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์ที่ไวรัสใช้ในกระบวนการเพิ่มจำนวนไวรัส การกลายพันธุ์นี้ทำให้ยา Lamivudine ไม่สามารถยับยั้งไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยทำได้โดยการติดตามการรักษาด้วยยา Lamivudine ในระยะเวลาหนึ่ง หากเกิดตับอักเสบร่วมกับการเพิ่มจำนวนไวรัสตับอักเสบบีในเลือดเป็นหลักแสนหรือล้านตัว ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชี้ว่าไวรัสกลายพันธุ์และมีความเสี่ยงในการดื้อยา Lamivudine ในระยะยาว

แต่อย่างไรก็ตามต้องแยกจากผู้ป่วยกลุ่มที่รับประทานยาไม่สม่ำเสมอ จนทำให้จำนวนไวรัสในร่างกายเพิ่มจำนวนขึ้น หรือมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้ตับอักเสบมากขึ้น ซึ่งในกลุ่มนี้หากกลับมารับประทานยาสม่ำเสมอและแก้สาเหตุของตับอักเสบอื่น ๆ อาการก็จะดีขึ้นและไม่ใช่กลุ่มที่เป็นไวรัสตับอักเสบกลายพันธุ์

การรักษา

ให้เพิ่มยารักษาไวรัสบีตัวใหม่ ๆ เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งตัว แล้วทำการติดตามตรวจรักษาอย่างใกล้ชิด หรือ นัดตรวจถี่ขึ้นจนแน่ใจว่าไวรัสไม่อักเสบแล้ว หรือ พิจารณาย้ายไปรักษาด้วยการฉีดยารักษาแทนการกินยารักษา

การดำเนินโรคของการกลายพันธุ์

การกลายพันธุ์ของไวรัสตับอักเสบบีมีรายงานว่าสามารถทำให้โรคดำเนินไปเร็วกว่าไวรัสตับอักเสบบีธรรมดา และอาจทำให้สุขภาพของผู้ป่วยแย่ลง ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขอย่างหนึ่งของผู้ป่วยกลุ่มที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี 

อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยา

  • ในระยะ 1 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 14%
  • ในระยะ 2 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 38%
  • ในระยะ 3 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 49%
  • ในระยะ 4 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 66%
  • ในระยะ 5 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 69%

อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดระยะเวลาที่ผู้ป่วยต้องรับยาต้านไวรัส ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การรักษาไวรัสตับอักเสบบีที่กลายพันธุ์ดื้อยาเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและควรคำนึงถึงอย่างใกล้ชิดในการรักษาผู้ป่วยในระยะยาว

> กลับสู่สารบัญ

การป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

การฉีดวัคซีนตับอักเสบบี

วัคซีนตับอักเสบบีเป็นวิธีป้องกันหลักที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคนี้ การฉีดวัคซีนจะช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบบีและป้องกันการติดเชื้อในระยะต่อไป 

การฉีดวัคซีนตับอักเสบบีสามารถทำได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ เด็กทารกแรกเกิดจะได้รับวัคซีนตับอักเสบบีในช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่วนใหญ่จะได้รับในวันแรกหรือไม่นานหลังเกิดทั้งหมด 3 รอบ วัยผู้ใหญ่มีรอบการฉีดทั้งหมด 3 รอบในลักษณะเดียวกัน โดยรอบแรกจะเริ่มต้นในเวลาที่กำหนด และจากนั้นจะฉีดเข็มที่ 2 หลังจากผ่านไปประมาณ 1 เดือน และฉีดเข็มที่ 3 หลังจากผ่านไปประมาณ 6 เดือนหลังจากเข็มที่ 1

ควบคุมพฤติกรรมเสี่ยง

การเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงเป็นอีกวิธีหนึ่งในการป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ควรเลิกสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และป้องกันหากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย

การตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ

ในผู้ที่ยังไม่มีการติดเชื้อ การตรวจสุขภาพตับจะช่วยลดความเสี่ยงและช่วยวางแผนสุขภาพเพื่อป้องกันการติดเชื้อได้ เช่น การวางแผนการฉีดวัคซีน และยังช่วยให้ทราบสุขภาพของตับโดยรวมอีกด้วย 

ส่วนในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ การตรวจสุขภาพตับจะทำให้ทราบถึงระยะของโรค ความรุนแรงของโรค ซึ่งมีประโยชน์ในการวางแผนการรักษา ประเมินการรักษา และช่วยให้วางแผนการดูแลตัวเอง เพื่อควบคุมไม่ไห้โรครุนแรงขึ้น

ซึ่งแพทย์อาจแนะนำให้ตรวจค่าต่าง ๆ เช่น  

  • การตรวจ ALT ALT (alanine aminotransferase) ช่วยในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของตับ ถ้าระดับ ALT สูงเกินไปอาจเป็นสัญญาณของการทำงานของตับที่ผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
  • การตรวจระดับไวรัสตับอักเสบบี (HBV DNA) ในเลือดช่วยให้แพทย์ประเมินปริมาณไวรัสที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งสามารถใช้เพื่อประเมินความรุนแรงของการติดเชื้อและติดตามการเปลี่ยนแปลงของระดับไวรัสในระยะต่อไป
  • การตรวจ HBsAg (hepatitis B surface antigen)  เป็นวิธีการตรวจสอบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ถ้าผลตรวจเป็นบวก หมายความว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

> กลับสู่สารบัญ

สรุป

ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคที่มีการติดเชื้อไวรัสแล้วทำให้เกิดตับอักเสบ และเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งตับ การรักษาปัจจุบันของโรคนี้คือการรักษาด้วยยา ซึ่งอาจมีทั้งยากินและยาฉีด ทั้งนี้ต้องร่วมกับการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันสาเหตุของตับอักเสบอื่น ๆ อย่างไรก็ตามการป้องกันการติดเชื้อเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อ การตรวจสุขภาพตับอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อตับอักเสบบีได้

คลิกดูแพ็กเกจที่เกี่ยวข้องที่นี่

แพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็งชาย

รายละเอียด

แพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็งหญิง

รายละเอียด

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

สนใจนัดหมาย

> กลับสู่สารบัญ

บทความล่าสุด

ริดสีดวงทวาร

ริดสีดวงทวาร กับปัญหาหนักใจที่แก้ไขได้ รักษาเร็ว ฟื้นตัวไว

อ่านเพิ่มเติม
ผ่าตัดไส้เลื่อน

ผ่าตัดไส้เลื่อน วิธีรักษาไส้เลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

อ่านเพิ่มเติม
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

ผู้หญิงควรรู้! เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่คืออะไร มีสัญญาณเตือนอย่างไรบ้าง?

อ่านเพิ่มเติม
ดูบทความทั้งหมด

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V

ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

  • Praram 9 Hospital
  • @praram9hospital

แพทย์ผู้เขียนบทความ

นพ.ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย

นพ.ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย

ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ

นัดหมาย

ประวัติเพิ่มเติม

 

ศูนย์แพทย์

ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ

ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ

เยี่ยมชม

ดูทั้งหมด

บทความอื่นๆ

ริดสีดวงทวาร

ริดสีดวงทวาร กับปัญหาหนักใจที่แก้ไขได้ รักษาเร็ว ฟื้นตัวไว

ริดสีดวงทวาร มีสาเหตุมาจากการเพิ่มแรงดันในช่องทวารหนัก ทำให้เนื้อเยื่อหลอดเลือดในช่องทวารหนัก (Anal cushion) เกิดการขยายตัวเป็นหัวริดสีดวง

อ่านเพิ่มเติม
ผ่าตัดไส้เลื่อน

ผ่าตัดไส้เลื่อน วิธีรักษาไส้เลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

ผ่าตัดไส้เลื่อน เป็นวิธีรักษาไส้เลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด โดยเฉพาะการผ่าแบบส่องกล้อง จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และลดการเป็นซ้ำได้

อ่านเพิ่มเติม
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

ผู้หญิงควรรู้! เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่คืออะไร มีสัญญาณเตือนอย่างไรบ้าง?

เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) คือภาวะที่เนื้อเยื่อในโพรงมดลูกเจริญนอกมดลูก เช่น รังไข่หรือท่อนำไข่ ทำให้เกิดการอักเสบและปวดท้องประจำเดือนรุนแรง

อ่านเพิ่มเติม
อ่านบทความทั้งหมด
Facebook-f Youtube Instagram Line
  • 1270
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • นัดหมาย
  • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ข่าว และกิจกรรม รพ.
  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • นักลงทุนสัมพันธ์
  • การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
  • ร่วมงานกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • ข้อกำหนดและเงื่อนไข

Copyright © 2025 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา