Skip to content
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
Menu
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา

มารู้จักนิ่วในถุงน้ำดี อาการเป็นอย่างไร ทำไมเราถึงเป็น

นพ.สมเดช เจริญสรรพพืช

บทความ

โรงพยาบาลพระรามเก้า

  • วันที่โพสต์ 16 เมษายน 2021
นิ่วในถุงน้ำดี

พฤติกรรมที่ชอบกินอาหารหวานหรืออาหารไขมันสูงเป็นประจำ โดยเฉพาะพวกของทอดของปิ้งย่าง หรือชาบู อาจส่งผลให้สมดุลของน้ำดีเสียไป ทำให้เกิดก้อนผลึกขึ้นในถุงน้ำดี เกิดเป็นนิ่วในถุงน้ำดีขึ้นได้

หากเป็นนิ่วในถุงน้ำดีถึงขั้นอักเสบแล้ว อาจต้องรักษาโดยการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก ทำให้เราแทบจะหมดโอกาสที่จะได้กินอาหารหวานมันเหมือนเมื่อก่อน ถ้าเราไม่อยากเป็นแบบนั้น ก็ควรระมัดระวังพฤติกรรมการกินอาหาร และมาทำความรู้จักกับโรคนี้ไว้แต่เนิ่น ๆ ด้วยการอ่านบทความนี้

New call-to-action

สารบัญ

  • นิ่วในถุงน้ำดี คืออะไร
  • ใครมีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดีบ้าง
  • สาเหตุของการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
  • นิ่วในถุงน้ำดี มีอาการอย่างไรบ้าง
  • การตรวจวินิจฉัย
  • นิ่วในถุงน้ำดี หายเองได้ไหม?
  • การรักษานิ่วในถุงน้ำดี
  • ไม่อยากเป็นนิ่วในถุงน้ำดี มีวิธีป้องกันอย่างไรบ้าง
  • สรุป

นิ่วในถุงน้ำดี คืออะไร

นิ่วในถุงน้ำดี (Gall Stone) เป็นโรคที่เกิดจากการตกตะกอนของสารต่าง ๆ ในน้ำดี ทำให้เกิดนิ่วขึ้นที่ถุงน้ำดี ผู้ป่วยอาจมีอาการแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อบ่อย ๆ โดยเฉพาะเวลาทานอาหารประเภทไขมัน (แต่ก็มีกรณีที่ไม่แสดงอาการ) สามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีและนิ่วออก

ความผิดปกติของถุงน้ำดีมักมาจากภาวะการอักเสบ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น มีเนื้องอก เกิดพังผืด ติดเชื้อ ได้รับการกระทบกระเทือน แต่สาเหตุส่วนมากของถุงน้ำดีอักเสบกว่าร้อยละ 95 เป็นผลมาจากการเป็นนิ่วในถุงน้ำดี (gallstone)

> กลับสู่สารบัญ

ใครมีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดีบ้าง

เราสามารถสรุป กลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้ ดังต่อไปนี้

  • พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
  • พบได้ค่อนข้างบ่อยในคุณผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่เกิดจากฮอร์โมนที่ผิดปกติในระหว่างที่ตั้งครรภ์
  • มักพบโรคนี้ในกลุ่มคนที่เป็นโรคอ้วน มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน หรือผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูง
  • ผู้ที่ลดน้ำหนักรวดเร็วเกินไป โดยเฉพาะ การลดด้วยวิธีอดอาหาร
  • หากพ่อแม่เคยเป็นโรคนี้ ลูกก็จะมีโอกาสเป็นได้มากกว่าคนทั่วไป
  • คนที่มีพฤติกรรมในการกินอาหารที่มีไขมันสูง
  • ผู้ที่รับประทานยาลดคอเลสเตอรอล หรือยาคุมกำเนิด
  • ผู้ที่เป็นโรคเลือดบางโรค เช่น โลหิตจาง ธาลัสซีเมีย
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน

อดอาหาร หักโหมลดน้ำหนัก เสี่ยงเป็นนิ่วในถุงน้ำดี

เนื่องจากถุงน้ำดีจะหลั่งน้ำดีออกมาสำหรับย่อยอาหารประเภทไขมัน แต่เมื่อเราหักโหมลดน้ำหนักโดยการอดอาหาร อาจส่งสัญญาณให้ถุงน้ำดีบีบตัวน้อยลง เพราะเมื่อได้รับอาหารน้อย ก็ไม่จำเป็นต้องหลั่งน้ำดีมาย่อย เมื่อน้ำดีไม่ค่อยได้หลั่งออกมา
ก็จะสะสมอยู่นิ่ง ๆ ภายในถุงน้ำดี มีโอกาสที่จะตกตะกอนเป็นก้อนนิ่วได้

นอกจากนี้ การกินยาลดคอเลสเตอรอล แม้จะเป็นการลดคอเลสเตอรอลในเลือด แต่อาจทำให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในถุงน้ำดีเพิ่มขึ้นก็ได้

กลุ่ม Fair, Fat, Female, Fertile & Forty (5F) เสี่ยงที่สุด

มีข้อสรุปที่น่าสนใจว่า หากเป็นผู้หญิงชาวยุโรปหรืออเมริกา ที่มีภาวะอ้วน เคยตั้งครรภ์มาแล้ว และมีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป หรือที่เรียกว่ากลุ่ม Fair, Fat, Female, Fertile & Forty (5F) จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นนิ่วในถุงน้ำดีสูงมาก

  • Fair : หมายถึง ชนชาติผิวขาว (คนตะวันตก) เช่น คนยุโรป หรือคนอเมริกา
  • Fat : หมายถึง กลุ่มคนที่มีภาวะอ้วนหรือน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน
  • Female : หมายถึง ผู้หญิง เนื่องจากพบความเสี่ยงในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
  • Forty : หมายถึง ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
  • Fertile : หมายถึง ผู้หญิงที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะคนที่ผ่านการตั้งครรภ์มาแล้ว เนื่องจากช่วงที่ตั้งครรภ์มักมีความแปรปรวนของฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งส่งผลกับคอเลสเตอรอล

สำหรับคนไทยแล้ว เราอาจเลือกจำง่าย ๆ แค่ 4F โดยตัดคำว่า Fair ออก เหลือแต่เพียง Fat, Female, Fertile & Forty แทน หากพบว่าตัวเองอยู่ในเกณฑ์ดังกล่าว ควรเลือกกินอาหารอย่างระมัดระวังและเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

เด็กก็มีสิทธิ์เป็นเหมือนกันนะ!

แม้ว่ากลุ่มเสี่ยงตามที่ได้กล่าวไปแล้วจะไม่ใช่เด็ก แต่ก็มีปัจจัยกระตุ้นให้เด็กเป็นโรคดังกล่าวได้ เช่น โรคธาลัสซีเมีย ภาวะที่ผิดปกติของทางเดินน้ำดี มีพ่อแม่ที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี (พันธุกรรม) ได้รับยาบางชนิด เช่น ยาเซฟไตรอะโซน (Ceftriaxone)

นอกจากนี้ หากเด็กมีภาวะอ้วน มีน้ำหนักเกิน หรือมีพฤติกรรมการกินที่เน้นอาหารหวานมัน ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้ด้วยเช่นกัน

> กลับสู่สารบัญ

สาเหตุของการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี

เกิดจากความไม่สมดุลของสารเคมีในน้ำดีที่ใช้ในการย่อยไขมันเพื่อให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งโดยปกติน้ำดีประกอบด้วยสารต่าง ๆ มากมายหลายชนิด ที่ถุงน้ำดี (อวัยวะที่มีลักษณะเป็นถุงหรือกระเปาะ อยู่บริเวณใต้ชายโครงด้านขวา) ทำหน้าที่เหมือนเป็นโกดังสะสมน้ำดีที่ผลิตมาจากตับ เช่น น้ำ คอเลสเตอรอล บิลิรูบิน เลซิติน และเกลือน้ำดี เป็นต้น 

หากเกิดกรณีที่สมดุลเคมีไม่สมดุลจากการสาเหตุต่างๆ เช่น มีคอเลสเตอรอลหรือบิลิรูบินมากเกินไป อาจขับออกมาไม่หมด แล้วตกตะกอนกลายเป็นนิ่วอยู่ภายในได้

ประเภทของก้อนนิ่วที่เกิดในถุงน้ำดี

นิ่วในถุงน้ำดี ประกอบด้วยสาร 3 ชนิดหลัก ๆ ได้แก่ แคลเซียม คอเลสเตอรอล และบิลิรูบิน สามารถแบ่งจากลักษณะและองค์ประกอบของการเกิดนิ่วได้ 2 ประเภท ได้แก่

ชนิดที่เกิดจากคอเลสเตอรอล (cholesterol stones) เป็นนิ่วที่เกิดขึ้นจากการจับตัวของคอเลสเตอรอลประมาณ 70% โดยน้ำหนัก เกิดจากการมีคอเลสเตอรอลมากเกินไป ไม่สามารถขับออกมาจากถุงน้ำดีได้หมด จึงตกตะกอนกลายเป็นก้อนนิ่ว

นิ่วชนิดนี้ มักพบในผู้ป่วยในประเทศแถบตะวันตก แต่ผู้ที่กินอาหารไขมันสูงเป็นประจำ ก็สามารถเป็นนิ่วชนิดนี้ได้เช่นกัน

ชนิดที่เกิดจากเม็ดสีหรือบิลิรูบิน (pigment stones) ก้อนนิ่วชนิดนี้มีขนาดเล็กกว่าชนิดที่เกิดจากคอเลสเตอรอล มักพบในผู้ป่วยโรคตับหรือผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของเลือด เช่น โรคโลหิตจาง ธาลัสซีเมีย

ชอบกินของทอดของมัน ให้ระวัง!

เมื่อเรากินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงเป็นประจำ อาจทำให้เกิดการตกตะกอนของคอเลสเตอรอล ร่วมกับเกลือแร่และโปรตีนที่ไม่สมดุลในน้ำดี จนเกิดเป็นก้อนนิ่วอุดตันอยู่ภายใน เมื่อสะสมมากเข้า ทำให้การทำงานของถุงน้ำดีแย่ลง หากปล่อยไว้ อาจเกิดการอักเสบในที่สุด

> กลับสู่สารบัญ

นิ่วในถุงน้ำดี มีอาการอย่างไรบ้าง

ในช่วงแรกที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี บางคนอาจจะยังไม่แสดงอาการอะไร หรือมีอาการ แต่ไม่ทราบว่าเป็นนิ่วและไม่ได้ไปตรวจ แต่เมื่อผ่านไปนานวันเข้า นิ่วมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือสะสมเพิ่มจำนวนขึ้น จึงเริ่มมีอาการ

อาการในช่วงแรก ถ้ายังไม่รุนแรงมาก มักจะเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่กินอาหารที่มีไขมันสูงเข้าไป ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เกิดอาการบวมตึงในถุงเพราะการคั่งของของเหลว มีลักษณะอาการที่สังเกตได้ ดังนี้

  • แน่นท้อง ท้องอืด มีลมมาก
  • ปวดจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ และอาจปวดร้าวไปบริเวณสะบักขวา
  • อาจมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย

ข้อสังเกตคือ มักจะมีอาการหลังกินอาหารมัน ๆ หรือช่วงเวลากลางคืน และมักจะเป็นอยู่  1 – 2 ชั่วโมงก็หาย และขณะมีอาการ ผู้ป่วยจะยังพอขยับตัวได้

โดยทั่วไปพบว่า หากเริ่มมีอาการแล้ว ก็มักจะเป็นต่อเนื่องและรุนแรงขึ้น (เนื่องจากก้อนนิ่วมักไม่ได้หายไปไหน มีแต่สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ) เมื่อเริ่มมีก้อนนิ่วภายในถุงน้ำดีแล้ว มีโอกาสเกิดภาวะถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (Acute Cholecystitis) ได้ทุกเมื่อ ซึ่งจะมีอาการรุนแรงกว่า โดยสามารถสังเกตได้ดังนี้

  • มีอาการปวด จุกแน่น เหมือนอาการที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่มีอาการยาวนาน 4 – 6 ชั่วโมงแล้วยังไม่หาย
  • มีอาการปวดท้องแบบรุนแรง หรือปวดจุกเสียดรุนแรงบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา
  • มีอาการดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง
  • ปัสสาวะเหลืองเข้ม หรืออุจจาระสีซีด
  • เป็นไข้ มีอาการหนาวสั่น (ร่วมกับอาการข้างต้น)
  • คลื่นไส้ อาเจียน (ร่วมกับอาการข้างต้น)

สัญญาณของการเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี คือมีอาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย อาเจียนปวดท้องอย่างรุนแรงบริเวณช่วงท้องส่วนบนด้านขวา โดยปวดต่อเนื่องเป็นเวลานาน เป็นต้น

ข้อสังเกตคือ ผู้ป่วยแทบจะขยับตัวไม่ได้เลย เพราะจะปวดมาก และถ้าหากพบว่ามีอาการดังกล่าวแล้ว ควรรีบไปพบแพทย์
โดยด่วน

New call-to-action

อาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

นอกจากอาการอักเสบเฉียบพลันและอาการของผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดีที่พบเป็นประจำแล้ว อาจมีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่นซึ่งอันตรายไม่แพ้กัน ได้แก่

1. ตับและตับอ่อนอักเสบ : เกิดจากการอุดตันของนิ่วในท่อน้ำดี ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการดีซ่าน และทำให้ตับหรือตับอ่อนเกิดการอักเสบตามมาได้

2. ลำไส้อุดตัน : เกิดจากการคั่งของน้ำดี แล้วทะลุไปยังช่องท้องหรือทะลุไปสู่อวัยวะอื่น ทำให้ก้อนนิ่วที่มีขนาดใหญ่ ไปอุดตันบริเวณลำไส้ (มักเกิดกับบริเวณที่ลำไส้ตีบแคบ เช่น ileocaecal valve เป็นต้น)

3. มะเร็งถุงน้ำดี : พบว่าผู้ป่วยมะเร็งถุงน้ำดีส่วนใหญ่ มีนิ่วในถุงน้ำดีร่วมด้วย และยิ่งถ้าก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่ จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ถุงน้ำดีมากขึ้นไปอีก

4. ติดเชื้อรุนแรง (กรณีผู้ป่วยเบาหวาน) : ผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี ควรได้รับการผ่าตัดโดยเร็ว เพราะถ้าปล่อยให้อักเสบขึ้นมาแล้ว มักจะมีภาวะติดเชื้อที่รุนแรงและเสี่ยงถึงชีวิต

จะเห็นได้ว่า แม้จะยังไม่ได้มีอาการอักเสบเกิดขึ้น แต่การปล่อยให้เป็นนิ่วอยู่นาน ๆ ไม่เป็นผลดีแน่นอน ควรรีบมาปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนแนวทางรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะดีกว่าปล่อยไว้จนกระทั่งมีอาการแทรกซ้อนร้ายแรง

> กลับสู่สารบัญ

การตรวจวินิจฉัย

เมื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัย แพทย์จะซักถามอาการ ส่งตรวจร่างกาย และต้องมีการอัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนบน ซึ่งเป็นวิธีที่ดีและง่ายในการตรวจนิ่วในถุงน้ำดี

ข้อแนะนำ: เนื่องจากผู้ป่วยด้วยโรคนิ่วในถุงน้ำดีมักไม่รู้ตัวในระยะแรก ๆ และมักจะไปตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพ หรือหลังจากมีอาการแล้วจึงค่อยไปตรวจ ดังนั้น จึงมีข้อแนะนำว่า หากเรารู้ว่าตัวเองเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นนิ่วในถุงน้ำดี ควรเข้ารับการตรวจเชิงป้องกันบ้าง

> กลับสู่สารบัญ

นิ่วในถุงน้ำดี หายเองได้ไหม?

เชื่อว่า เป็นคำถามที่ใคร ๆ ก็อยากให้คำตอบออกมาว่า‘หายเองได้’ แต่ในความเป็นจริงแล้ว นิ่วจะไม่มีทางสลายไปเอง หรือต่อให้ก้อนนิ่วหลุดออกไปได้ ก็จะไปติดค้างอยู่ที่จุดอื่นและสร้างปัญหาตามมาอยู่ดี นอกจากนี้ การปล่อยทิ้งไว้ไม่สนใจ มีแต่จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอาการแทรกซ้อนตามมาได้อีก

ในปัจจุบัน นิ่วในถุงน้ำดี ไม่สามารถรักษาได้ด้วยการกินยาสลายนิ่ว (เหมือนกรณีของนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ) อีกทั้ง การยิงคลื่นหรือเลเซอร์สลายนิ่วในบริเวณถุงน้ำดีก็ยังมีความเสี่ยงสูง ขั้นตอนการรักษาที่เหมาะสมและเป็นมาตรฐานที่สุดสำหรับกรณีนี้ คือ การรักษาโดยการผ่าตัด

> กลับสู่สารบัญ

การรักษานิ่วในถุงน้ำดี

การรักษา ทำได้ด้วยการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีและนิ่วออก โดยมีวิธีการรักษาอยู่ 2 วิธี

1. การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง (Open Surgery)
เป็นการผ่าตัดผ่านบริเวณช่องท้องด้านชายโครงด้านขวา แล้วตัดเอาถุงน้ำดีพร้อมกับนิ่วออกมา เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการอักเสบอย่างรุนแรง ถุงน้ำดีมีการแตกทะลุ หรือเริ่มมีอาการดีซ่าน

นอกจากนี้ การผ่าตัดด้วยวิธีนี้ยังใช้กับผู้ป่วยบางรายที่เคยผ่าตัดช่องท้องมาก่อนจนเกิดพังผืดติดลำไส้และผนังหน้าท้องมาก จะไม่สามารถใช้การผ่าตัดแบบส่องกล้องได้

2. การผ่าตัดส่องกล้อง (Laparoscopic cholecystectomy) 

เรียกกันสั้นๆว่า LC วิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัย แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก มีข้อดีคือ เป็นวิธีที่ปลอดภัย เพราะมีแผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ช่วยลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน และลดอาการเจ็บปวดของบาดแผลน้อยกว่าการผ่าตัดเปิดแบบเดิม ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้นกว่าเดิม รับประทานอาหารได้เร็วและกลับบ้านประกอบการงานได้รวดเร็ว

การปฏิบัติตัวหลังการผ่าตัด

ผู้ป่วยที่พึ่งได้รับการผ่าตัดมาใหม่ ๆ ให้กินอาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แต่ควรลดปริมาณไข่แดงเนื่องจากมีคอเลสเตอรอลสูง

หลังจากผ่าตัด สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ให้ระวังการออกแรง ออกกำลังกายหนัก ๆ หรือการยกของหนัก อย่างน้อยเป็นเวลา 4 สัปดาห์หลังผ่าตัด (โดยเฉพาะ กรณีที่ผ่าตัดแบบเปิด) และควรลดอาหารที่มีไขมันสักระยะหนึ่ง จนกว่าร่างกายจะปรับตัวได้

นอกจากนี้ ควรมาให้แพทย์ตรวจติดตามหลังผ่าตัดอีก 1-2 ครั้ง หรือตามคำแนะนำที่เหมาะสม

> กลับสู่สารบัญ

ไม่อยากเป็นนิ่วในถุงน้ำดีมีวิธีป้องกันอย่างไรบ้าง

ส่วนมากแล้วเป็นข้อแนะนำในแง่ของการปรับพฤติกรรม โดยเฉพาะพฤติกรรมการกิน ได้แก่

  • กินอาหารให้ได้สัดส่วน เลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและอาหารแปรรูปต่าง ๆ เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ดส์ อาหารทอด ชาบู-ปิ้งย่าง และ เนื้อติดมัน สัตว์ทะเลบางชนิด รวมถึงอาหารที่มีปริมาณคอเลสเตอรอลสูง เป็นต้น
  • ลดหรือเลี่ยงของหวาน อาหารกินเล่นต่าง ๆ รวมทั้งแอลกอฮอล์ด้วย
  • ควบคุมน้ำหนัก หมั่นเข้ารับการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด และระดับของไขมันชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะคอเลสเตอรอล
  • ไม่ใช้วิธีอดอาหาร เพื่อลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว แต่ให้ใช้วิธีคุมอาหาร ร่วมกับออกกำลังกายอย่างเหมาะสม (ออกกำลังกาย
    2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละครึ่งชั่วโมง)
  • หากต้องกินยาคุมกำเนิด ยาลดคอเลสเตอรอล ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์
  • ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี และควรทำอัลตราซาวด์ช่องท้องด้วย
  • ควรศึกษาและตรวจเช็คว่าตัวเองเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ กลุ่มเสี่ยงควรติดตามดูแลตัวเองอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ ผู้ที่รู้แล้วว่าตัวเองเป็นนิ่วในถุงน้ำดี ควรพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาทันที อย่าปล่อยไว้จนมีอาการลุกลาม

> กลับสู่สารบัญ

สรุป

นิ่วในถุงน้ำดี เป็นโรคที่เกิดจากก้อนนิ่วไปอุดตันตามส่วนต่าง ๆ ในถุงน้ำดี ผู้ป่วยอาจมีอาการแน่นท้อง จุกเสียด ท้องอืดโดยเฉพาะเวลาทานอาหารประเภทไขมัน หรือบางคนก็ไม่แสดงอาการ สามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีและนิ่วออก และไม่ควรปล่อยไว้จนกระทั่งอักเสบหรือเป็นโรคแทรกซ้อน

แม้จะมีการอธิบายถึงกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดีมากกว่าคนอื่น ๆ เช่น กลุ่ม 5F แต่เราก็ไม่ควรมองข้ามพฤติกรรมเสี่ยงของตัวเองที่อาจกระตุ้นให้เป็นโรคนี้ได้ โดยเฉพาะ การรับประทานอาหารที่มีไขมันในสัดส่วนที่สูง อาจกินได้บ้างตามโอกาส แต่ไม่ควรกินบ่อยหรือกินเป็นประจำ

สังเกตว่า การรักษาในปัจจุบัน ทำได้โดยการตัดถุงน้ำดีออก ซึ่งใครอ่านแล้วอาจจะตกใจไปบ้าง แต่ให้สบายใจได้ว่า แม้จะไม่มีโกดังกักเก็บน้ำดีแล้ว แต่ส่วนที่ทำหน้าที่ผลิตน้ำดีก็ยังมีอยู่ ซึ่งก็คือ “ตับ” นั่นเอง เปรียบได้กับการใช้น้ำโดยตรงจากระบบประปาโดยไม่มีบ่อกักเก็บน้ำ ทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยไขมันอาจลดลงไปบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายจะปรับตัวได้เอง

New call-to-action

> กลับสู่สารบัญ

คลิกดูแพ็กเกจที่เกี่ยวข้องที่นี่

โปรแกรมตรวจคัดกรองโรคไตและตรวจอัลตราซาวด์ระบบทางเดินปัสสาวะ

รายละเอียด

บทความล่าสุด

ริดสีดวงทวาร

ริดสีดวงทวาร กับปัญหาหนักใจที่แก้ไขได้ รักษาเร็ว ฟื้นตัวไว

อ่านเพิ่มเติม
ผ่าตัดไส้เลื่อน

ผ่าตัดไส้เลื่อน วิธีรักษาไส้เลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

อ่านเพิ่มเติม
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

ผู้หญิงควรรู้! เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่คืออะไร มีสัญญาณเตือนอย่างไรบ้าง?

อ่านเพิ่มเติม
ดูบทความทั้งหมด

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V

ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

  • Praram 9 Hospital
  • @praram9hospital

แพทย์ผู้เขียนบทความ

นพ.สมเดช เจริญสรรพพืช

นพ.สมเดช เจริญสรรพพืช

ศูนย์ศัลยกรรม

นัดหมาย

ประวัติเพิ่มเติม

 

ศูนย์แพทย์

ศูนย์ศัลยกรรม_1-1

ศูนย์ศัลยกรรม

เยี่ยมชม

ดูทั้งหมด

บทความอื่นๆ

ริดสีดวงทวาร

ริดสีดวงทวาร กับปัญหาหนักใจที่แก้ไขได้ รักษาเร็ว ฟื้นตัวไว

ริดสีดวงทวาร มีสาเหตุมาจากการเพิ่มแรงดันในช่องทวารหนัก ทำให้เนื้อเยื่อหลอดเลือดในช่องทวารหนัก (Anal cushion) เกิดการขยายตัวเป็นหัวริดสีดวง

อ่านเพิ่มเติม
ผ่าตัดไส้เลื่อน

ผ่าตัดไส้เลื่อน วิธีรักษาไส้เลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

ผ่าตัดไส้เลื่อน เป็นวิธีรักษาไส้เลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด โดยเฉพาะการผ่าแบบส่องกล้อง จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และลดการเป็นซ้ำได้

อ่านเพิ่มเติม
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

ผู้หญิงควรรู้! เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่คืออะไร มีสัญญาณเตือนอย่างไรบ้าง?

เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) คือภาวะที่เนื้อเยื่อในโพรงมดลูกเจริญนอกมดลูก เช่น รังไข่หรือท่อนำไข่ ทำให้เกิดการอักเสบและปวดท้องประจำเดือนรุนแรง

อ่านเพิ่มเติม
อ่านบทความทั้งหมด
Facebook-f Youtube Instagram Line
  • 1270
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • นัดหมาย
  • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ข่าว และกิจกรรม รพ.
  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • นักลงทุนสัมพันธ์
  • การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
  • ร่วมงานกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • ข้อกำหนดและเงื่อนไข

Copyright © 2025 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา