Skip to content
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
Menu
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

บทความ

โรงพยาบาลพระรามเก้า

  • วันที่โพสต์ 9 พฤษภาคม 2025
บอลลูนหัวใจ

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease; CAD) เป็นภาวะที่หลอดเลือดมีการสะสมไขมัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ ซึ่งอาจนำไปสู่หัวใจวาย การรักษาด้วย การทำบอลลูนหัวใจ (Percutaneous Coronary Intervention – PCI) เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ เป็นวิธีที่ช่วยเปิดหลอดเลือดที่ตีบโดยไม่ต้องผ่าตัดเปิดหัวใจ ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับวิธีการทำบอลลูนหัวใจ กระบวนการต่าง ๆ รวมถึงข้อดีและข้อควรระวังที่ผู้ป่วยควรรู้ เพื่อให้การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

  • บอลลูนหัวใจ คืออะไร?
  • ขั้นตอนการทำบอลลูนหัวใจ
  • ข้อบ่งชี้ของการทำบอลลูนหัวใจมีอะไรบ้าง?
  • ข้อดีของการทำบอลลูนหัวใจ
  • ความแตกต่างระหว่างการทำบอลลูนหัวใจกับการผ่าตัดบายพาส (CABG)
  • ใครบ้างที่เหมาะกับการทำบอลลูนหัวใจ?
  • ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
  • การดูแลตัวเองหลังการทำบอลลูนหัวใจ
  • การเปรียบเทียบระหว่างบอลลูนหัวใจกับการใช้ขดลวด (Stent)
  • สรุป

บอลลูนหัวใจ คืออะไร?

บอลลูนหัวใจ (Balloon Angioplasty หรือ Percutaneous Coronary Intervention; PCI) เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน โดยเป็นกระบวนการที่ใช้เทคโนโลยีบอลลูนขยายหลอดเลือดที่ตีบเพื่อให้เลือดสามารถไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อหัวใจได้มากขึ้น ทำให้ลดอาการเจ็บหน้าอกและป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือดได้ โดยการทำบอลลูนจะถูกใช้เมื่อหลอดเลือดหัวใจมีการตีบหรืออุดตันแต่ยังไม่ถึงขั้นต้องผ่าตัดบายพาส ซึ่งทำให้วิธีนี้มีความปลอดภัยและฟื้นตัวได้เร็วกว่า

ขั้นตอนการทำบอลลูนหัวใจ

  1. การเตรียมตัวก่อนการทำบอลลูน: ก่อนการทำบอลลูนหลอดเลือดหัวใจ แพทย์จะให้คำแนะนำในการหยุดยาบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด รวมถึงการงดอาหารหรือเครื่องดื่มในช่วง 6-8 ชั่วโมงก่อนการรักษา เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการทำหัตถการ
  2. การสอดสายสวน: เมื่อเข้าสู่ห้องสวนหัวใจแล้ว แพทย์จะทำการสอดสายสวนบอลลูนเข้าไปในหลอดเลือด ผ่านทางข้อมือหรือขา แล้วนำสายสวนไปบริเวณที่มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจ โดยในขณะที่ใส่สายสวน แพทย์จะใช้เครื่องเอกซเรย์ (fluoroscopy) ถ่ายภาพ เพื่อให้แพทย์เห็นภาพตำแหน่งของสายสวนได้ชัดเจน
  3. การขยายหลอดเลือด: เมื่อสายสวนบอลลูนถึงตำแหน่งที่ตีบแล้ว แพทย์จะทำการพองบอลลูนให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อขยายหลอดเลือดที่ตีบให้กว้างขึ้น ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
  4. การใส่ขดลวด (Stent): หากจำมีความจำเป็นและเพื่อการป้องกันการตีบซ้ำของหลอดเลือด แพทย์อาจใส่ขดลวด (stent) ซึ่งเป็นอุปกรณ์โลหะสังเคราะห์ทางการแพทย์ที่ไม่ทำปฏิกิริยากับร่างกาย ที่ตำแหน่งที่มีการตีบและขยายด้วยบอลลูนแล้ว โดยขดลวดจะถูกปล่อยออกมาหลังจากขยายด้วยบอลลูนแล้ว

ข้อบ่งชี้ของการทำบอลลูนหัวใจมีอะไรบ้าง?

การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยการทำบอลลูนหัวใจมีข้อบ่งชี้ดังนี้

1. มีอาการเจ็บหน้าอกเรื้อรังที่ควบคุมด้วยยาไม่ได้

หากผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกเรื้อรังจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและอาการไม่สามารถควบคุมได้ด้วยการรักษาด้วยยาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การทำบอลลูนหัวใจอาจช่วยบรรเทาอาการได้

2. มีอาการเจ็บหน้าอกที่ไม่คงที่ (Unstable Angina) หรือหัวใจขาดเลือดบางส่วน (NSTEMI)

ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกที่เกิดขึ้นบ่อยและรุนแรง หรือมีอาการหัวใจขาดเลือดบางส่วน การทำบอลลูนหัวใจจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดหัวใจวายได้

3. หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (STEMI)

ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (STEMI) การทำบอลลูนหัวใจจะเป็นวิธีการรักษามาตรฐาน หากสามารถทำได้ภายในเวลาที่เหมาะสม (ภายใน 90 นาทีหลังจากมีอาการ) จะซึ่งช่วยเปิดหลอดเลือดที่อุดตันและลดความเสียหายที่เกิดกับกล้ามเนื้อหัวใจได้

4. หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจเส้นหลักด้านซ้ายตีบ (Left Main Coronary Artery Disease)

หลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจเส้นหลักด้านซ้าย (Left coronary artery) เป็นหลอดเลือดที่ส่งเลือดไปยังหัวใจส่วนใหญ่ หากมีการตีบมากและไม่สามารถทำการรักษาด้วยการผ่าตัดบายพาสได้ การทำบอลลูนหัวใจจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและช่วยลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลวได้

5. โรคหลอดเลือดหัวใจที่รุนแรงในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง

ในกรณีที่ผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจรุนแรงและมีความเสี่ยงสูงในการทำการผ่าตัดบายพาส ผู้ป่วยอาจได้รับการพิจารณาให้ทำบอลลูนหัวใจแทน

6. ไม่สามารถทำการผ่าตัดบายพาสได้

หากผู้ป่วยเหมาะสมที่จะได้รับการผ่าตัดบายพาส แต่ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้เนื่องจากมีภาวะสุขภาพที่ไม่เอื้อต่อการผ่าตัด การทำบอลลูนหัวใจก็จะเป็นทางเลือกในการรักษา

7. มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจที่ทำให้การทำงานของหัวใจผิดปกติ

หากการตีบของหลอดเลือดหัวใจส่งผลให้หัวใจทำงานไม่ปกติ การทำบอลลูนหัวใจอาจช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจให้ดีขึ้นด้วย

8. มีความเสี่ยงของหัวใจขาดเลือดสูงในอนาคต

หากผู้ป่วยมีภาวะหัวใจขาดเลือดที่รุนแรงและเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวายในอนาคต การทำบอลลูนหัวใจจะช่วยลดความเสี่ยงและช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น

9. เคยผ่าตัดบายพาสหรือทำบอลลูนหัวใจแล้วเกิดปัญหาหรือไม่สำเร็จ

แพทย์อาจพิจารณาการทำบอลลูนหัวใจในผู้ป่วยที่เคยได้รับการทำผ่าตัดบายพาสหรือทำบอลลูนหัวใจมาก่อน แต่หลอดเลือดยังตีบซ้ำ หรือการรักษาก่อนหน้านี้ไม่ได้ผล

โดยปัจจัยที่แพทย์จะพิจารณาการรักษาด้วยวิธีการบอลลูนหัวใจขึ้นอยู่กับสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับจากการรักษาเทียบกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น 

อย่างไรก็ตามการทำบอลลูนหัวใจเป็นการรักษาด้วยวิธีการเฉพาะ ซึ่งต้องทำโดยอายุรแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจที่มีความชำนาญเท่านั้น

ข้อดีของการทำบอลลูนหัวใจ

  • ลดอาการเจ็บหน้าอก: การขยายหลอดเลือดจะทำให้เลือดสามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ดีขึ้น เป็นผลให้อาการเจ็บแน่นหน้าอกจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดลดลง หรือหายไป
  • เพิ่มการไหลเวียนเลือด: การทำบอลลูนช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดหัวใจที่ตีบ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจได้รับออกซิเจนและสารอาหารอย่างเพียงพอ
  • ลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจวาย: การรักษาด้วยวิธีนี้สามารถลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลว ที่เกิดจากการขาดเลือดในกล้ามเนื้อหัวใจ
  • ฟื้นตัวเร็ว: การทำบอลลูนหัวใจไม่ต้องผ่าตัดเปิดหน้าอก ทำให้การฟื้นตัวเร็วกว่าเมื่อเทียบกับการผ่าตัดบายพาส

ความแตกต่างระหว่างการทำบอลลูนหัวใจกับการผ่าตัดบายพาส (CABG)

บอลลูนหัวใจ และ การผ่าตัดบายพาส (CABG) ต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือการรักษาหลอดเลือดหัวใจตีบ แต่มีข้อแตกต่างกันทั้งในเรื่องของวิธีการและระยะเวลาในการฟื้นตัวดังนี้

  • บายพาสหัวใจ (CABG): เป็นการผ่าตัดเพื่อสร้างเส้นทางการไหลเวียนเลือดใหม่ โดยการนำหลอดเลือดจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกายมาใช้สร้างเส้นทางใหม่เพื่อข้ามตำแหน่งที่มีการตีบของหลอดเลือดเดิม โดยการผ่าตัดบายพาสจะต้องผ่าเปิดหน้าอก จึงต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า
  • บอลลูนหัวใจ: เป็นการขยายหลอดเลือดที่ตีบโดยใช้บอลลูน ซึ่งไม่ต้องผ่าตัดเปิดอก และมักจะใช้ในกรณีที่หลอดเลือดตีบเพียง 1-2 จุด

ใครบ้างที่เหมาะกับการทำบอลลูนหัวใจ?

  • ผู้ป่วยที่มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจไม่เกินสองเส้นหรือมีการตีบที่ไม่ซับซ้อนเกินไป 
  • ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกจากการตีบของหลอดเลือดหัวใจ
  • ผู้ป่วยที่มีการตีบเพียงจุดเดียวหรือสองจุด
  • ผู้ป่วยที่ไม่สามารถผ่าตัดบายพาสได้เนื่องจากสภาพร่างกายไม่เหมาะสม

ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

แม้ว่าการทำบอลลูนหัวใจจะค่อนข้างปลอดภัย แต่ยังคงมีความเสี่ยงบางประการ ได้แก่

  • การเกิดลิ่มเลือด: หลังการทำบอลลูน อาจเกิดลิ่มเลือดที่บริเวณที่ขยายหลอดเลือดได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายหรือหลอดเลือดสมองตีบหรือสโตรกได้
  • ภาวะหลอดเลือดตีบซ้ำ: แม้จะขยายหลอดเลือดออกแล้ว แต่ก็มีโอกาสที่หลอดเลือดอาจตีบซ้ำได้ 
  • ภาวะเลือดออก: การใส่สายสวนเข้าสู่ร่างกายอาจทำให้เกิดเลือดออกในบางกรณี
  • ภาวะแทรกซ้อนจากการใส่ขดลวด: ในบางกรณีอาจมีการติดเชื้อ หรือขดลวดอาจกางตัวออกไม่สุด

อย่างไรก็ตาม ก่อนทำการรักษาด้วยวิธีการบอลลูนหัวใจ แพทย์จะทำการตรวจร่างกายผู้ป่วย และตรวจค่าเลือดต่าง ๆ อย่างละเอียด รวมถึงพิจารณาถึงความเสี่ยงอื่น ๆ เพื่อใช้วางแผนการรักษาให้ผู้ป่วยปลอดภัย และเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยที่สุด

การดูแลตัวเองหลังการทำบอลลูนหัวใจ

การดูแลตัวเองหลังการทำบอลลูนหัวใจเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อการฟื้นตัวที่เร็ว และสามารถกลับไปทำงานและทำกิจวัตรประจำวันได้

  • การรับประทานยาตามคำแนะนำ: ผู้ป่วยต้องรับประทานยาตามที่แพทย์ส่งอย่างเคร่งครัด เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดลิ่มเลือด
  • การปรับพฤติกรรมการกิน: ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและเค็ม เพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
  • การออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป: หลังจากการทำบอลลูนหัวใจ ควรออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพหัวใจ
  • ควบคุมน้ำหนัก: การมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • เลิกสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบ ดังนั้นการเลิกสูบบุหรี่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะหากไม่เลิกอาจทำให้มีหลอดเลือดมีการตีบซ้ำ หรือตีบที่บริเวณอื่นได้

การเปรียบเทียบระหว่างบอลลูนหัวใจกับการใช้ขดลวด (Stent)

การใช้ขดลวดร่วมกับบอลลูนหัวใจมีข้อดีคือ จะช่วยให้หลอดเลือดที่ตีบสามารถเปิดได้มากขึ้นและคงรูปร่างไว้ได้ นอกจากนี้ขดลวดยังช่วยลดโอกาสในการตีบซ้ำ โดยขดลวดที่ใช้ในปัจจุบันมีการพัฒนาให้มีคุณสมบัติที่ดีกว่าเดิม เช่น ขดลวดที่ปล่อยยาหรือที่เรียกว่า drug-eluting stents (DES) ซึ่งช่วยลดการเกิดการตีบซ้ำหลังการทำบอลลูนได้มาก

สรุป

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นวิธีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย การรักษานี้เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

แนะนำแพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง

  • แพ็กเกจตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง
  • แพ็กเกจตรวจคัดกรองอาการใจสั่น พร้อมติดเครื่อง Holter Monitoring
  • แพ็กเกจตรวจคัดกรองอาการใจสั่น พร้อมติดเครื่อง EVENT Recorder

บทความล่าสุด

ริดสีดวงทวาร

ริดสีดวงทวาร กับปัญหาหนักใจที่แก้ไขได้ รักษาเร็ว ฟื้นตัวไว

อ่านเพิ่มเติม
ผ่าตัดไส้เลื่อน

ผ่าตัดไส้เลื่อน วิธีรักษาไส้เลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

อ่านเพิ่มเติม
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

ผู้หญิงควรรู้! เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่คืออะไร มีสัญญาณเตือนอย่างไรบ้าง?

อ่านเพิ่มเติม
ดูบทความทั้งหมด

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V

ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

  • Praram 9 Hospital
  • @praram9hospital

แพทย์ผู้เขียนบทความ

 

ศูนย์แพทย์

สถาบันหัวใจและหลอดเลือด_1-1

สถาบันหัวใจและหลอดเลือดพระรามเก้า

เยี่ยมชม

ดูทั้งหมด

บทความอื่นๆ

ริดสีดวงทวาร

ริดสีดวงทวาร กับปัญหาหนักใจที่แก้ไขได้ รักษาเร็ว ฟื้นตัวไว

ริดสีดวงทวาร มีสาเหตุมาจากการเพิ่มแรงดันในช่องทวารหนัก ทำให้เนื้อเยื่อหลอดเลือดในช่องทวารหนัก (Anal cushion) เกิดการขยายตัวเป็นหัวริดสีดวง

อ่านเพิ่มเติม
ผ่าตัดไส้เลื่อน

ผ่าตัดไส้เลื่อน วิธีรักษาไส้เลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

ผ่าตัดไส้เลื่อน เป็นวิธีรักษาไส้เลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด โดยเฉพาะการผ่าแบบส่องกล้อง จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และลดการเป็นซ้ำได้

อ่านเพิ่มเติม
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

ผู้หญิงควรรู้! เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่คืออะไร มีสัญญาณเตือนอย่างไรบ้าง?

เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) คือภาวะที่เนื้อเยื่อในโพรงมดลูกเจริญนอกมดลูก เช่น รังไข่หรือท่อนำไข่ ทำให้เกิดการอักเสบและปวดท้องประจำเดือนรุนแรง

อ่านเพิ่มเติม
อ่านบทความทั้งหมด
Facebook-f Youtube Instagram Line
  • 1270
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • นัดหมาย
  • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ข่าว และกิจกรรม รพ.
  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • นักลงทุนสัมพันธ์
  • การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
  • ร่วมงานกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • ข้อกำหนดและเงื่อนไข

Copyright © 2025 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา