Skip to content
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
Menu
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา

โรคหัวใจและโรคไต: ความสัมพันธ์อันตรายที่ควรรู้

บทความ

โรงพยาบาลพระรามเก้า

  • วันที่โพสต์ 10 พฤษภาคม 2024
โรคไตกับโรคหัวใจ

โรคไตและโรคหัวใจเป็นโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน คือกลุ่มโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ (NCD) ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่มีอัตราการเกิดโรคและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในเกือบทุกประเทศทั่วโลก โดยทั้งสองโรคนี้มักจะถูกพูดถึงในลักษณะที่แยกกัน แต่เมื่อเจาะลึกลงไปจะพบว่าทั้งสองโรคมีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง ไม่เพียงเพราะว่ามีปัจจัยเสี่ยงร่วมกัน แต่โรคหนึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่ออีกโรคหนึ่งได้อีกด้วย

สารบัญ

  • โรคหัวใจ
  • โรคไต
  • ความสัมพันธ์ระหว่างหัวใจและไต
  • ปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคไต
  • คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคไตและโรคหัวใจ
  • การป้องกันโรคหัวใจและโรคไต
  • สรุป

โรคหัวใจ

โรคหัวใจเป็นกลุ่มของความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับระบบหัวใจ ได้แก่ กล้ามเนื้อหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ ลิ้นหัวใจ การนำไฟฟ้าของหัวใจ และเยื่อหุ้มหัวใจ ส่งผลให้หัวใจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ โรคหัวใจแบ่งออกได้เป็นหลายโรค แต่ละโรคมีสาเหตุและอาการแสดงที่แตกต่างกัน โรคหัวใจที่พบได้บ่อย เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือโรคเส้นเลือดแข็งตัว โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบ โรคของกล้ามเนื้อหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวาย ซึ่งผู้ป่วยโรคหัวใจมักมีอาการเหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก หายใจเร็ว ใจสั่น หน้ามืด วูบ หมดสติ หากมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องต่อไป

> กลับสู่สารบัญ

โรคไต

ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือด และควบคุมสมดุลของของเหลวและเกลือแร่ในร่างกาย เมื่อไตทำงานผิดปกติจะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น ภาวะน้ำเกิน ภาวะเกลือแร่ในเลือดผิดปกติ และภาวะเลือดจาง

โรคไตสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง อาการของโรคไตเรื้อรังมักค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผู้ป่วยอาจไม่สังเกตเห็นจนกระทั่งโรคพัฒนาไปถึงระยะรุนแรง เกิดเป็นโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งเป็นภาวะที่ซับซ้อนและมักไม่หายขาด 

ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิตสูง มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคไตเรื้อรัง การตรวจคัดกรองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากตรวจพบตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นจะสามารถรักษาและป้องกันไม่ให้โรครุนแรงได้

> กลับสู่สารบัญ

ความสัมพันธ์ระหว่างหัวใจและไต

หัวใจและไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำงานร่วมกันเพื่อรักษาสมดุลของระบบไหลเวียนของร่างกาย ความสัมพันธ์ของทั้งสองอวัยวะนี้มีความซับซ้อนและส่งผลต่อกันและกัน โดยสามารถอธิบายความสัมพันธ์ได้ดังนี้

  • หัวใจสูบฉีดเลือดส่งเลือดไปเลี้ยงไต: หัวใจทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย รวมถึงไต เลือดที่ส่งไปเลี้ยงไตจะนำออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของไต
  • ไตกรองของเสียออกจากเลือด: ไตทำหน้าที่กรองของเสียและสารพิษออกจากเลือด โดยขับของเสียออกจากร่างกายทางปัสสาวะ
  • ไตควบคุมความดันเลือด: ไตช่วยควบคุมความดันเลือด โดยทำหน้าที่รักษาสมดุลของเกลือแร่และน้ำในร่างกาย
  • ไตผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง: ไตผลิตฮอร์โมนอีริโทรโปอีติน (erythropoietin) ซึ่งจะไปกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง
  • ไตควบคุมระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือด: ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท

ไตและหัวใจทำงานเป็นแบบพึ่งพาอาศัยกัน หากอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทำงานผิดปกติไป จะส่งผลต่ออีกอวัยวะหนึ่งด้วย เช่น 

  • ในผู้ป่วยโรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจวายเรื้อรัง การทำงานของหัวใจเสียไป สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้น้อยลง ก็จะส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงไต ทำให้ไตทำงานผิดปกติ เกิดเป็นโรคไตเรื้อรังตามมาได้
  • ในผู้ป่วยโรคไต เช่น โรคไตเรื้อรัง ทำให้ขับของเสียและสารพิษออกจากร่างกายได้น้อยลง และของเสียเหล่านี้จะสะสมในเลือด ซึ่งมีผลต่อการทำงานของหัวใจ และทำเกิดเป็นโรคหัวใจตามมาได้

จะเห็นได้ว่าระหว่างการทำงานของหัวใจและไตมีความเกี่ยวข้องกัน ดังนั้นไม่ว่าความผิดปกติจะเกิดขึ้นที่ระบบใด ก็อาจจะผลกระทบต่ออีกระบบได้เช่นกัน

> กลับสู่สารบัญ

ปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคไต

แม้ว่าทั้งสองอวัยวะจะมีหน้าที่การทำงานที่ต่างกัน แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งโรคหัวใจและโรคไตมีความเสี่ยงของโรคที่คล้ายกัน ได้แก่

  • หลอดเลือดที่เสียความยืดหยุ่น หรือหลอดเลือดแข็งตัว (atherosclerosis) โรคหัวใจและโรคไต มักเกิดจากการแข็งตัวของหลอดเลือด ซึ่งเกิดจากการที่มีการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ภาวะนี้ทำให้หลอดเลือดตีบ เลือดจึงไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ น้อยลง ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ และไต นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย
  • โรคความดันโลหิตสูง ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นเพราะต้องบีบตัวเพื่อสูบฉีดให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะอื่นๆในร่างกายโดยสู้กับความดันโลหิตที่สูงกว่าปกติ ความดันโลหิตสูงยังส่งผลต่อไต โดยทำให้ความดันในหลอดเลือดไตสูงขึ้น ผนังหลอดเลือดฝอยภายในไตอักเสบ และท่อไตเกิดพังผืด ทำให้ไตทำงานไม่ปกติ ไม่สามารถควบคุมน้ำและเกลือแร่ได้ ยิ่งทำให้ภาวะความดันโลหิตสูงแย่ลง และส่งผลวนเวียนกับไตและหัวใจต่อเนื่องเป็นวัฏจักร
  • โรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจะส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือด และหลอดเลือดทั่วร่างกายแข็งตัวรวมถึงหลอดเลือดในไต นผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคไตมากกว่าคนทั่วไป
  • ไขมันในเลือดสูง คอเลสเตอรอลที่สูงจะสะสมในหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และส่งผลเสียต่อไตด้วย
  • โรคอ้วน จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ล้วนเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ และโรคไต นอกจากนี้โรคอ้วนยังเป็นปัจจัยเสี่ยงโดยตรงของการเกิดโรคไตเรื้อรังผ่านกระบวนการอักเสบของร่างกาย
  • การสูบบุหรี่ บุหรี่มีผลเสียกับหลอดเลือดทั่วร่างกายเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของภาวะหลอดเลือดแข็งตัว เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคไต

การหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้จะช่วยป้องกันโรคไตและหัวใจได้

> กลับสู่สารบัญ

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคไตและโรคหัวใจ

การดูแลสุขภาพสำหรับผู้ที่มีโรคไตและโรคหัวใจเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจอย่างมาก เนื่องจากทั้งสองโรคนี้มีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดและสามารถส่งผลกระทบต่อกันได้อย่างที่กล่าวมาข้างต้น

สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ

  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง เช่น เนื้อสัตว์แดงติดมัน และเน้นอาหารที่มีไขมันดี เช่น ปลาที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ผัก ผลไม้ และธัญพืช
  • การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม จะช่วยให้หัวใจแข็งแรงขึ้น
  • ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อลดภาระการทำงานของหัวใจ
  • การหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มสุรา 
  • วัดความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอลอยู่เสมอ

สำหรับผู้ป่วยโรคไต

  • จำกัดปริมาณโซเดียม (เกลือ) โปรตีน และโพแทสเซียมในอาหาร ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อลดภาระการทำงานของไต
  • รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม
  • การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดในปกติ มีความสำคัญสำหรับผู้เบาหวาน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคไต
  • รักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติเพื่อป้องกันความเสียหายต่อไต
  • การหลีกเลี่ยงสารพิษและยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ซึ่งอาจทำให้การทำงานของไตเสียหาย

> กลับสู่สารบัญ

การป้องกันโรคหัวใจและโรคไต

  • เน้นรับประทานผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไม่ติดมัน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ และโซเดียมสูง
  • ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ (moderate intensity exercise)
  • รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม
  • งดสูบบุหรี่
  • จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ 
  • จัดการความเครียด 
  • นอนหลับให้เพียงพอ
  • ควรตรวจคัดกรองโรคไต ภาวะความดันโลหิตสูง รวมถึงการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

> กลับสู่สารบัญ

สรุป

โรคหัวใจและโรคไตมีความเชื่อมโยงและส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน โดยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจนำไปสู่ทั้งสองโรคนี้ได้ การรับประทานอาหารที่เหมาะสม ออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก หลีกเลี่ยงบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตรวจวัดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลเป็นประจำ สำหรับผู้มีเบาหวานควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบจากทั้งโรคไตและโรคหัวใจได้

คลิกดูแพ็กเกจที่เกี่ยวข้องที่นี่

แพ็กเกจตรวจสมรรถภาพร่างกาย ระบบหัวใจ และปอด (9 Healthy Heart: VO2 MAX)

รายละเอียด

แพ็กเกจตรวจสุขภาพหัวใจพร้อมตรวจหาคราบหินปูนที่หลอดเลือดแดงหัวใจ (9 Healthy Heart: CAC)

รายละเอียด

แพ็กเกจตรวจสุขภาพหัวใจและทดสอบสมรรถภาพหัวใจโดยการวิ่งสายพาน (9 Healthy Heart: EST)

รายละเอียด

แพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคไต

รายละเอียด

แพ็กเกจตรวจคัดกรองเบาหวาน (Diabetic Screening)

รายละเอียด

แพ็กเกจตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง

รายละเอียด

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

สนใจนัดหมาย

> กลับสู่สารบัญ

บทความล่าสุด

ริดสีดวงทวาร

ริดสีดวงทวาร กับปัญหาหนักใจที่แก้ไขได้ รักษาเร็ว ฟื้นตัวไว

อ่านเพิ่มเติม
ผ่าตัดไส้เลื่อน

ผ่าตัดไส้เลื่อน วิธีรักษาไส้เลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

อ่านเพิ่มเติม
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

ผู้หญิงควรรู้! เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่คืออะไร มีสัญญาณเตือนอย่างไรบ้าง?

อ่านเพิ่มเติม
ดูบทความทั้งหมด

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V

ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

  • Praram 9 Hospital
  • @praram9hospital

แพทย์ผู้เขียนบทความ

 

ศูนย์แพทย์

บทความอื่นๆ

ริดสีดวงทวาร

ริดสีดวงทวาร กับปัญหาหนักใจที่แก้ไขได้ รักษาเร็ว ฟื้นตัวไว

ริดสีดวงทวาร มีสาเหตุมาจากการเพิ่มแรงดันในช่องทวารหนัก ทำให้เนื้อเยื่อหลอดเลือดในช่องทวารหนัก (Anal cushion) เกิดการขยายตัวเป็นหัวริดสีดวง

อ่านเพิ่มเติม
ผ่าตัดไส้เลื่อน

ผ่าตัดไส้เลื่อน วิธีรักษาไส้เลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

ผ่าตัดไส้เลื่อน เป็นวิธีรักษาไส้เลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด โดยเฉพาะการผ่าแบบส่องกล้อง จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และลดการเป็นซ้ำได้

อ่านเพิ่มเติม
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

ผู้หญิงควรรู้! เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่คืออะไร มีสัญญาณเตือนอย่างไรบ้าง?

เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) คือภาวะที่เนื้อเยื่อในโพรงมดลูกเจริญนอกมดลูก เช่น รังไข่หรือท่อนำไข่ ทำให้เกิดการอักเสบและปวดท้องประจำเดือนรุนแรง

อ่านเพิ่มเติม
อ่านบทความทั้งหมด
Facebook-f Youtube Instagram Line
  • 1270
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • นัดหมาย
  • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ข่าว และกิจกรรม รพ.
  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • นักลงทุนสัมพันธ์
  • การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
  • ร่วมงานกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • ข้อกำหนดและเงื่อนไข

Copyright © 2025 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา