ปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ซึ่งทำให้ปัญหาสุขภาพ ของผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น หนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยคือ การพลัดตก หกล้มของผู้สูงอายุ จากข้อมูลของกองป้องกันการบาดเจ็บกรมควบคุมโรค พบว่า ผู้สูงอายุจำนวน 1 ใน 3 จะประสบอุบัติเหตุพลัดตกหกล้มทุกปี และโดยจะมีผู้สูงอายุ กว่าหมื่นรายที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อสะโพกจนต้องเข้ารับการผ่าตัดรักษาใน โรงพยาบาล นอกจากนี้ที่สำคัญยังพบว่ามากกว่า 20% ของผู้สูงอายุที่มีข้อสะโพกหัก ดังกล่าวมีโอกาสเสียชีวิตภายใน 1 ปี
ดังนั้น “กระดูกสะโพกหัก” ที่เกิดจากการพลัดตกหกล้มจึงเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญ ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะส่งผลให้เกิดความพิการและเสียชีวิตในผู้สูงอายุ บทความนี้จะกล่าวถึงภาวะกระดูกสะโพกหักในหลาย ๆ ด้าน ทั้งสาเหตุ อาการ การรักษา และวิธีป้องกัน เพื่อช่วยดูแลผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
กระดูกสะโพกหัก คืออะไร?
กระดูกสะโพกหักเป็นภาวะกระดูกหักของกระดูกส่วนต้นของกระดูกต้นขา (femur) ใกล้กับข้อสะโพก ซึ่งมักเกิดในผู้สูงอายุที่ล้มแม้เพียงเล็กน้อย เนื่องจาก ผู้สูงอายุมักมีโรคกระดูกพรุนร่วมด้วยเสมอ แต่สำหรับคนหนุ่มสาว การเกิดกระดูกสะโพกหักมักเกิดจากอุบัติเหตุรุนแรง เช่น การตกจากที่สูง หรืออุบัติเหตุทางจราจร เป็นต้น
การรักษาที่ทันท่วงทีและถูกต้องเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะ แทรกซ้อนและช่วยฟื้นฟูการเคลื่อนไหวให้กลับมาใกล้เคียงปกติมากที่สุด เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
อาการกระดูกสะโพกหัก
- ปวดรุนแรงบริเวณสะโพกหรือโคนขา: เมื่อกระดูกสะโพกหัก ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดอย่างรุนแรงที่บริเวณสะโพกหรือขา โดยเฉพาะเมื่อพยายามขยับหรือกดน้ำหนักลงบนขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บ อาการปวดมักจะเป็นแบบเฉียบพลันและไม่หายไป แม้จะหยุดเคลื่อนไหวแล้วก็ตาม
- ขยับสะโพกหรือขาได้ลำบาก: ผู้ป่วยอาจพบว่าไม่สามารถขยับสะโพกหรือขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บได้ตามปกติ การเคลื่อนไหวอาจจำกัดหรือทำได้แค่บางท่าเท่านั้น โดยเฉพาะการยกขาหรือหมุนขา
- บวม ช้ำ หรือมีรอยฟกช้ำรอบสะโพก: บริเวณที่กระดูกเกิดการแตกหักมักจะมีอาการบวมและฟกช้ำเนื่องจากการฉีก ขาดของหลอดเลือดใต้ผิวหนัง ทำให้มีเลือดออกเห็นเป็นสีดำเขียวใต้ผิวหนัง บางครั้งอาจเห็นรอยฟกช้ำที่ขาหรือสะโพกซึ่งจะขยายขนาดตามเวลาหลังการบาดเจ็บ
- ขาข้างที่บาดเจ็บดูสั้นลงหรือบิดผิดรูป: เมื่อเกิดการหักที่กระดูกสะโพก จะมีการเคลื่อนตัวซ้อนกันของกระดูก ทำให้ขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บอาจดูสั้นลง กว่าข้างที่ไม่บาดเจ็บ และขามักมีลักษณะบิดออกด้านนอก (external rotation) ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนจากลักษณะที่ผิดปกติของขา
- ไม่สามารถยืนหรือเดินได้: เมื่อกระดูกสะโพกหัก ผู้ป่วยมักจะไม่สามารถยืน หรือเดินได้ เพราะไม่สามารถลงน้ำหนักที่ขาข้างที่บาดเจ็บได้
- มีการขยับผิดท่าหรือการเคลื่อนไหวผิดปกติ: ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าไม่สามารถ เคลื่อนไหวได ตามปกติหรือเมื่อพยายามขยับขาจะรู้สึกเจ็บปวดรุนแรง
อาการเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณของกระดูกสะโพกหักที่ควรได้รับการตรวจจากแพทย์ โดยทันที การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ที่รุนแรงได้
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของกระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุ
- ภาวะกระดูกพรุน: เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกจะบางลงและสูญเสียความแข็งแรง ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการหักแม้จะไม่ได้เกิดอุบัติเหตุรุนแรง เช่น การหกล้ม เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้กระดูกหักได้ โดยเฉพาะในบริเวณกระดูกสะโพก ที่มีความเสี่ยงที่จะหักได้ง่าย
- การเปลี่ยนแปลงทางสายตา:ในผู้สูงอายุที่มีสายตายาว เกิดต้อกระจก หรือปัญหาลานสายตาที่แคบลงอาจทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน โดยเฉพาะ ในที่มืดหรือในที่ที่สภาพแสงน้อย ทำให้ผู้สูงอายุสะดุด หรือเสียหลักได้ง่าย ทำให้หกล้ม ซึ่งอาจทำให้กระดูกหักได้
- กล้ามเนื้อเสื่อมสภาพ: กล้ามเนื้อจะค่อย ๆ อ่อนแอลงเมื่อไม่ได้ใช้งาน ทำให้ผู้สูงอายุทรงตัวได้ไม่ดี ทำให้มีโอกาสในการหกล้มง่าย
- การทรงตัวที่แย่ลง: ระบบประสาทสมอง ไขสันหลังที่เสื่อมสภาพตามอายุ ทำให้ความสามารถการควบคุมการทรงตัวลดลง เสี่ยงต่อการล้มได้ง่ายขึ้น
- สาเหตุอื่น ๆ ที่เพิ่มความเสี่ยง
- ยาบางประเภท เช่น ยานอนหลับ ยาลดความดัน โลหิต หรือยาที่ทำให้เวียนศีรษะ อาจส่งผลต่อการรับรู้ การทรงตัว เพิ่มความเสี่ยงในการพลัดตกหกล้ม
- โรคที่มีผลกระทบต่อระบบประสาทหรือการเคลื่อนไหว เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง อาจทำให้การทรงตัวไม่ดี และเพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้ม
- สภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย การเดินในที่ที่มีพื้นผิวลื่นหรือมีสิ่งกีดขวาง เช่น พื้นที่มีขอบสันนูนอาจทำให้สะดุดเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มได้ง่าย
กระดูกสะโพกหัก ทำอย่างไรดี?
หากสงสัยว่ามีอาการกระดูกสะโพกหัก เช่น ปวดสะโพกจนขยับไม่ได้ ยืนหรือเดินไม่ได้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด เพราะการปล่อยไว้จะเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงตามมา เช่น
- แผลกดทับ: การนอนติดเตียงเพียง 1-2 วัน อาจทำให้เกิดแผลกดทับ ซึ่งเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ
- กล้ามเนื้อขาลีบ: เมื่อขาไม่ได้ใช้งาน กล้ามเนื้อจะอ่อนแรง ถ้าเป็นมากอาจ ลุกเดินไม่ได้
- ภาวะปอดบวม: การนอนติดเตียง ขยัยตัวน้อย ทำให้ปอดทำงานไม่เต็มที่ เสี่ยงต่อการที่ปอดชื้น ปอดแฟบ และติดเชื้อในปอด
- การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ: การขับถ่ายปัสสาวะลำบากจากการนอนติดเตียง หรือถ่ายปัสสาวะไม่ได้ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
- ลิ่มเลือดอุดตัน: การนอนไม่ขยับขา เพิ่มความเสี่ยงของลิ่มเลือดอุดตัน ในขาหรือปอด ซึ่งอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
วิธีวินิจฉัยกระดูกสะโพกหัก
การวินิจฉัยกระดูกสะโพกหักจำเป็นต้องอาศัยการตรวจร่างกายโดยแพทย์ร่วมกับ การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยยืนยันการหักของกระดูก ซึ่งขั้นตอนการวินิจฉัยมีดังนี้
- ซักประวัติและตรวจร่างกาย
- แพทย์จะสอบถามประวัติเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บ เช่น การหกล้ม หรืออุบัติเหตุ
- ตรวจหาสัญญาณผิดปกติ เช่น อาการปวดบริเวณสะโพก การบวม การผิดรูป หรือการขยับขาไม่ได้
- การตรวจทางรังสีวิทยา (X-ray)
- เป็นวิธีหลักที่ใช้ตรวจดูการหักของกระดูก โดยเฉพาะบริเวณคอของกระดูกต้นขาหรือข้อสะโพก
- แพทย์จะสามารถเห็นลักษณะการหัก เช่น การเลื่อน หรือการแตกของกระดูก
- การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
- มักตรวจในกรณีที่ผล X-ray ไม่ชัดเจน หรือสงสัยว่ามีการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อหรือกระดูกพรุนร่วมด้วย
- เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดสะโพก แต่ผล X-ray ไม่พบการหักอย่างชัดเจน
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)
- ใช้เพื่อดูรายละเอียดของกระดูกในมุมที่ X-ray ทั่วไปไม่สามารถแสดงได้
- เหมาะสำหรับการประเมินการหักที่ซับซ้อนและใช้วางแผนการผ่าตัด
วิธีการรักษากระดูกสะโพกหัก
การรักษากระดูกสะโพกหักต้องพิจารณาจากความรุนแรงของการหัก สภาพร่างกาย และอายุของผู้ป่วย โดยวิธีรักษาหลักมีดังนี้
การผ่าตัด ควรทำโดยเร็ว แนะนำให้ทำภายในเวลา 48 ชั่วโมงหลังจากล้ม เพื่อลดโอกาสที่ผู้ป่วยจะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการนอนนาน โดยมีทางเลือกคือ
- การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม (Hip Replacement): ใช้ในกรณีกระดูกสะโพกหักจนเสียหายหนักหรือไม่สามารถสมานได้ เช่น มีการหักที่บริเวณคอกระดูกสะโพก แพทย์จะทำการผ่าตัดโดยเอาหัวกระดูก ออกแล้วทดแทนด้วยข้อสะโพกเทียมเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาเดินได้ ข้อสะโพกเทียมที่ได้ผลดีในผู้สูงอายุที่มีกระดูกพรุนและหัก คือข้อสะโพกเทียม แบบใช้ซีเมนต์ยึดกระดูก โดยจะพบมีภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดน้อยกว่า การใช้ข้อสะโพกเทียมแบบไม่ใช้ซีเมนต์ยึดกระดูก ทั้งนี้ควรผ่าตัด โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จึงจะได้ผลที่ดี
- การผ่าตัดยึดตรึงกระดูก (Internal Fixation): โดยใช้โลหะยึดกระดูก เหมาะสำหรับกระดูกที่หักบางชนิด
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด ใช้เฉพาะ ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่เหมาะหรือไม่สามารถผ่าตัดได้ เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคร่วมที่ซับซ้อน
- ดึงกระดูก (Traction): เป็นการใช้เครื่องมือช่วยจัดตำแหน่งกระดูกให้เข้าที่
- พักฟื้นบนเตียง (Bed Rest): ต้องระวังภาวะแทรกซ้อนที่กล่าวมาข้างต้น เช่น แผลกดทับ การติดเชื้อในปอด และกล้ามเนื้อลีบ
กายภาพบำบัด
- ควรเริ่มทำกายภาพบำบัดทันทีหลังการรักษา เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของ กล้ามเนื้อ และการเคลื่อนไหวของข้อ ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาเดิน และทำกิจวัตรประจำวันได้เร็วขึ้น รวมถึงลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น กล้ามเนื้อลีบ หรือความสมดุลในการเดินเสียไป
การรักษาเสริม
- ยาบรรเทาอาการปวด: เพื่อลดความเจ็บปวดจากการรักษาหรือการผ่าตัด
- อาหารเสริมแคลเซียมและวิตามินดี: ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก และลดความเสี่ยงกระดูกหักซ้ำ
ช่วงเวลา (ฤดู) ที่ผู้สูงอายุสะโพกหักกันมากที่สุดในแต่ละปี
ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ฤดูหนาวจึงกลายเป็นช่วงเวลาที่ผู้สูงอายุต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุที่อาจนำไปสู่กระดูกสะโพกหักและผลกระทบร้ายแรงอื่น ๆ ตามมา
ในต่างประเทศที่อยู่ในเขตหนาว จะพบบ่อยในฤดูหนาว ถือเป็นช่วงเวลาที่ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการหกล้มและกระดูกสะโพกหักเพิ่มขึ้น เนื่องจากอากาศหนาวเย็นมักกระตุ้นให้ผู้สูงอายุปวดปัสสาวะบ่อยขึ้น ทำให้ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำในช่วงกลางคืน ประกอบกับช่วงเวลาที่ท้องฟ้ามืดเร็ว และสว่างช้ากว่าฤดูกาลอื่น ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน เสี่ยงต่อการหกล้ม การศึกษาวิจัยในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์เหนือที่พบว่า จำนวนผู้ป่วย กระดูกสะโพกหักในฤดูหนาวเพิ่มขึ้นถึง 8% เมื่อเทียบกับฤดูอื่น
แต่ในประเทศไทยที่อากาศไม่ได้หนาวจัด และไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่อง แสงสว่างมาก พบว่ามีผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักอาจเพิ่มขึ้นตั้งแต่ฤดูฝน ที่มากับความเปียกแฉะ ลื่น ของพื้นผิวที่โดนน้ำ
การป้องกันกระดูกสะโพกหัก
- เสริมความแข็งแรงของกระดูก
รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง เช่น นม ปลาซาร์ดีน ผักใบเขียว และรับแสงแดดยามเช้าเป็นประจำ
- ออกกำลังกายที่เหมาะสม
การออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก เช่น เดินเร็ว หรือโยคะ ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและเสริมสมดุลร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงการหกล้ม
- จัดบ้านให้ปลอดภัย
เก็บสิ่งของที่เกะกะทางเดิน ติดตั้งไฟในบริเวณที่มืด และใช้พื้นกันลื่นในห้องน้ำ ระวังไม่ควรใช้ผ้าเช็ดเท้าที่ลื่นไถลได้ มีการติดราวพยุงตัวตามจุดเสี่ยงล้ม
- ตรวจสุขภาพกระดูก
ผู้สูงอายุควรตรวจความหนาแน่นของกระดูกเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ภาวะกระดูกพรุน หรือมีประวัติหกล้มบ่อย
- ใช้เครื่องช่วยพยุง สำหรับผู้ที่มีปัญหาการทรงตัว อาจใช้ไม้เท้า หรือเครื่องช่วยเดิน เพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้ม
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเช่น การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เนื่องจากมีผล ต่อความแข็งแรงของกระดูก และระวังเวลาใช้ยาที่ลดระดับการรับรู้ อาจทำให้ล้มได้โดยง่าย
สรุป
กระดูกสะโพกหักเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในผู้สูงอายุ มักเกิดจากการพลัดตก หกล้ม ซึ่งอาจนำไปสู่การบาดเจ็บร้ายแรงและผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้เสียชีวิตได้ การป้องกันกระดูกสะโพกหักสามารถทำได้โดยการเสริมความแข็งแรงของกระดูก ผ่านการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดี ออกกำลังกาย เพื่อเสริมสมดุลของกระดูกและกล้ามเนื้อ และจัดบ้านให้ปลอดภัย
นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพกระดูก และใช้เครื่องช่วยพยุงในการเดิน ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก การให้ความสำคัญกับการป้องกันการหกล้ม จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีชีวิตที่ปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น
ท้ายที่สุด หากเกิดเหตุกระดูกสะโพกหัก ควรพบแพทย์เพื่อรักษาโดยเร็ว จะช่วยลดอันตรายจากภาวะแทรกซ้อนได้